Wednesday, August 3, 2011

จอยักษ์ Twitter กลางห้องข่าว...อนาคตไล่ล่าคุณ


ที่เห็นอยู่นี้คือห้องข่าวของ Boston Globe ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์เก่าแก่ที่สุดฉบับหนึ่งของสหรัฐฯ ...ด้านขวาคือจอมอนิเตอร์ใหญ่ที่เคยโชว์หน้าเว็บไซท์และพาดหัวให้คนในกองบรรณาธิการได้ติดตามได้ใกล้ชิดตลอดเวลา

แต่ที่ใหม่คือจอมอนิเตอร์ที่เพิ่มมานั้นแสดงข้อความ Twitter ที่นักข่าวของหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ทวิตตลอดทั้งวันและคืน

นี่คือปรากฏการณ์ใหม่ของสื่อสหรัฐฯที่ social media เข้ามามีบทบาทมากขึ้นอย่างปฏิเสธไม่ได้

คนข่าวเรียกจอมอนิเตอร์ใหม่นี้ว่า "Information Radiator" หรือ "จอแผ่รังสีข่าว" ที่คอยติดตามว่าข่าวใหญ่เกิดขึ้นที่ไหน, คู่แข่งกำลังเล่นข่าวอะไรใหญ่ทางออนไลน์, และเนื้อหาดิจิตัลของทีมข่าวของตนเองมีอะไรที่ทุกคนจะต้องรับรู้, เกาะติดและนำไปสร้างมุมข่าวใหม่ได้บ้าง

จอมอนิเตอร์ทวิตเตอร์นี้ดูดเอาข้อควาทวีตจาก @BostonGlobeUpdate ซึ่งมีรายชื่อของคนข่าวของสื่อนี้ทวิตเป็นประจำ (ขณะนี้มีอยู่ 173 คน)มาแสดงให้ได้อ่านกันทั้งกอง บก.

เป้าหมายอีกด้านหนึ่งของบรรณาธิการที่เอาจอนี้ขึ้นกลางห้องข่าวก็เพื่อกระตุ้นให้คนในกอง บก. ที่ยังไม่ทวีตให้เริ่มทวีตเสีย เพราะนี่คือสิ่งที่คนข่าวไม่ทำไม่ได้อีกต่อไป...แต่แน่นอนว่าเขาก็ยังให้โอกาส "ไดโนเสาร์" ได้ปรับตัวก่อนที่จะถูกประกาศให้ "สูญพันธุ์" ไปจากแวดวงสื่อมวลชน

ที่ Boston Globe นั้น, นอกจากยังตีพิมพ์หนังสือพิมพ์ประจำวันอยู่, ก็มีเว็บไซท์ฟรี Boston.com และได้เปิดเว็บไซท์เก็บเงินที่มีเนื้อหาพิเศษที่หาอ่านที่ไหนไม่ได้ชื่อ BostonGlobe.com

Christ Marstall, ตำแหน่ง Creative Technologist, บอกว่าที่เอาจอยักษ์ทวิตเตอร์ขึ้นกลางห้องข่าวนั้นก็เพราะ...

"By showing what people are tweeting, who they are connecting with on Twitter and what stories are developing, the Information Radiator is a valuable new information feed that also happens to suggest "Hey, give this Twitter thing a try."

ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งว่าการจะกระตุ้นให้เกิดความตื่นตัวในกองบรรณาธิการข่าวให้เปิดกว้างเพื่อรับกับเทคโนโยลีที่ช่วยในการเกาะติดข่าวและตอบสนองอย่างทันท่วงทีต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อทันต่อ "อนาคตของข่าว" นั้น, จอยักษ์ทวิตเตอร์อย่างนี้จะเป็นการเตือนสติของคนข่าวยุคนี้ว่าทุกความเคลื่อนไหวของข่าวจะต้องอยู่ในจอเรดาร์ของกอง บก.

และนาทีนี้ไม่มีอะไรที่จะจับกระแสของความเคลื่อนไหวทุกวินามีได้มีประสิทธิภาพเท่ากับ social media อีกแล้ว

No comments: