Wednesday, August 10, 2011

คนข่าวจะไม่ใช่ "เจ้าของข่าว" อีกต่อไป


การปรับตัวของคนข่าวสำหรับอนาคตนั้นต้องเริ่มต้นที่ทำความเข้าใจเสียใหม่ว่าคนทำข่าวไม่ใช่ "เจ้าของข่าว" อย่างที่เคยเชื่อมาช้านานอีกต่อไป

ต่อไปนี้ข่าวจะเป็นของ "ผู้บริโภคข่าว" เป็นสมบัติสาธารณะที่จะไปแบ่งปันกันได้อย่างกว้างขวาง

และคนข่าวต้องสำเหนียกว่า "ข่าว" แต่ละชิ้นที่ตนผลิตนั้นหาได้เป็น "จุดสิ้นสุด" ที่ทุกคนต้องเชื่อและถือเป็นข้อสรุปเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอย่างที่เป็นมาตรฐานแห่งความคิดของสังคมเก่า

ตรงกันข้าม, ข่าวทุกชิ้นจากนี้ไปจะเป็นเพียง "จุดเริ่มต้น" เท่านั้น เพราะเป้าหมายของคนทำข่าวจะต้องเป็นว่าข่าวแต่ละประเด็นที่คนข่าวอาชีพนำเสนอในโลกดิจิตัลนั้นเป้าหมายสุดท้ายที่แท้จริงก็คือการนำไปสู่การกระตุ้นให้เกิดการแสดงความเห็น, การต่อเติมเสริแต่งเนื้อหาตามที่แต่ละผู้บริโภคข่าวจะนำไปใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อตนมากที่สุด

แต่ก่อน เราเคยเชื่อว่าเมื่อเราเสนอข่าวไปแล้วชิ้นใด, นั่นคือ "ความจริงทุกสิ่งอัน" ที่ผู้อ่าน, ผู้ฟังและผู้ชมจะต้องรับไปทั้งดุ้น ซึ่งอาจจะเป็นความจริงในโลกสื่อสารมวลชนแบบเก่า แต่วันนี้ เมื่ออินเตอร์เน็ทและโลกดิจิตัลสร้างพลังอำนาจให้กับผู้รับสารได้อย่างเอกอุและกว้างขว้างไร้ขีดจำกัดแล้ว, ผลงานของคนข่าวอาชีพก็เป็นเพียงข้อมูลประกอบการพิจารณาของสาธารณชนที่จะนำไปปะติดปะต่อกับข่าวสารด้านอื่น ๆ ที่วิ่งไล่ล่าผู้คนจากทุกมุมโลกในทุกยามเวลาทั้งยามหลับและยามตื่น

พูดอีกนัยหนึ่ง, สิ่งที่คนข่าวอาชีพจะต้องสำนึกก็คือว่าต่อแต่นี้ไปอำนาจการควบคุมการไหลเทของข่าวและเนื้อหาข่าวมิได้อยู่ในมือของคนข่าวอีกต่อไป เราเป็นเพียงผู้แสวงหา,ค้นคว้า, ตรวจสอบและนำเสนอข่าวสารจากแง่มุมของผู้ฝึกปรือมาทางด้านการสื่อสาร แต่เมื่อข่าวออกพ้นมือเราไปแล้ว, ข่าวชิ้นนั้นก็สามารถถูกแปรสภาพไปในรูปแบบต่าง ๆ...จนอาจจะถึงจุดที่ว่าคนทำข่าวชิ้นนี้คนเดิมไม่สามารถจะจำได้ว่าข่าวชิ้นที่เขาอ่านในเวลาต่อมาและผ่านการแสดงความเห็นหลากหลายผ่านหลายช่องทางนั้นคือเนื้องานเดิมของเขาด้วยซ้ำไป

ดังนั้น หากเราเชื่อจริง ๆ ว่าวิชาชีพแห่งสื่อนั้นคือการให้ชุมชนของเราได้รับทราบข้อมูลข่าวสารเพื่อยกระดับสติปัญญาของสมาชิกแห่งสังคม ก็ย่อมแปลว่าคนทำข่าวอาชีพจะต้องปรับวิธีคิด, วิธีทำงานและทัศนคติต่อสิ่งที่เรียกว่า "ข่าว"

ซึ่งย่อมแปลว่าเราจะต้องสามารถทำหน้าที่รายงานข่าวและบทวิเคราะห์ที่มีประสิทธิภาพ,น่าสนใจ, แม่นยำ, และเข้าถึงประเด็นมากกว่าเดิมอีกหลายขุม

และเมื่อเรายกระดับฝีมือแห่งการทำหน้าที่ของคนข่าวอาชีพที่ดีขึ้นแล้ว ผลงานของเราในโลกใหม่แห่งข่าวสารก็ย่อมหมายถึงการที่เราต้องมีปฏิสัมพันธ์อย่างเปิดกว้างและลุ่มลึกกับสาธารณชนอีกด้วย

นี่คืออีกความท้าทายหนึ่งสำหรับคนข่าววันนี้ที่ต้องการจะมีวันพรุ่งนี้ที่เจิดจรัสกว่าเดิม แทนที่จะถูกครอบงำด้วยวิตกจริตว่าคนข่าวจะรอดจากพายุแห่งความเปลี่ยนผ่านหรือไม่

No comments: