กองทัพอิสราเอล
ซึ่งมีความคล่องแคล่วช่ำชองทางด้านดิจิตัลไม่น้อยได้ใช้ทวิตเตอร์ประกาศศึกสงครามและรายงานการโจมตีศัตรูในฉนวนกาซ่าอย่างรวดเร็วและทันการกองทัพของอิสราเอลใช้ @IDF ซึ่งย่อมาจาก Israel Defence Force เพื่อรายงานให้ชาวโลกได้รับรู้ว่าได้เปิดศึกกับกลุ่มฮามาสเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ขณะเดียวกันกลุ่ม Hamas ก็ตอบโต้ผ่านทางทวิตเตอร์อย่างฉับพลัน (อย่างที่ผมเอาเรียงให้ดูข้างบนนี้)
นักวิเคราะห์โซเชียลมีเดียบอกว่านี่อาจจะถือว่าเป็น "ทิศทางใหม่ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในการทำสงครามทั้งบนในสมรภูมิจริง และการส่งสารตรงจากคู่กรณีทั้งสองฝ่ายผ่าน social media"
ความหมายของคำว่า "อนาคตแห่งข่าว" จึงปรับเปลี่ยนไปอย่างกระทันหันเมื่อนักรบทั้งสองฝ่ายเป็นคนส่งข้อความขึ้นในทวิตเตอร์เพื่อแสดงจุดยืนของตน และเพื่อตอบโต้กันและกันนาทีต่อนาที
ก่อนหน้านี้ ผู้ประท้วงและผู้เรียกร้องสิทธิเสรีภาพใช้โซเชียลมีเดียเพื่อบรรลุเป้าหมายของตน แต่วันนี้นักรบผู้ติดอาวุธจริงเข้ามาใช้เครื่องมือสื่อสารในโลกดิจิตัลเพื่อประกาศศักดาในการทำศึกสงครามแล้ว
แน่นอนว่าก่อนหน้านี้ทหารเคยใช้วิทยุเพื่อกระจายข่าวด้านของตนให้เกิดความได้เปรียบทั้งทางด้านการข่มขวัญฝ่ายตรงกันข้ามและทำสงครามจิตวิทยาในการศึก แต่วันนี้การใช้ทวิตเตอร์ของทั้งสองฝ่ายถือเป็นการต่อยอดการสื่อสารอย่างรวดเร็วทันการและไปถึงผู้คนทั่วโลกอย่างฉับพลันทันที
นักรบวันนี้ไม่ต้องอาศัยนักข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของตนเองอีกต่อไป หากแต่กระโดดเข้าไปใช้ social media เพื่อทำภารกิจการสื่อสารและออกโฆษณาชวนเชื่อตามแนวทางของตน
แน่นอนว่าข้อความทวิตเตอร์ที่คู่กรณีเอาขึ้นเครือข่ายสังคมดิจิตัลนั้นไม่มีความน่าเชื่อถือเหมือนที่นักข่าวมืออาชีพจะรายงานและวิเคระห์ แต่เมื่อผู้บัญชาการรบและทหารเองใช้ทวิตเตอร์และเฟซบุ๊คเพื่อเป็นกระบอกเสียงของตนเอง, การปล่อยข่าวลวง, การบิดเบือนข้อเท็จจริงและการสร้างสถานการณ์เพื่อให้เกิดประโยชน์กับตนเองก็เป็นเรื่องที่จะต้องมีการตรวจสอบกันทุกขั้นตอน
หากคนข่าวมืออาชีพปรับตัวทันและใช้ความเป็นคนทำสื่อที่มีมาตรฐานสากล ตรวจสอบข่าวและรายงานเนื้อหาสาระอย่างน่าเชื่อถือ ก็ยังสามารถเรียกตัวเองว่าเป็น "gate-keeper" ได้อย่างเต็มภาคภูมิ
แต่ก็ต้องสำนึกว่าคนข่าวมิได้ "ผูกขาด" สิทธิและโอกาสที่จะรายงานข่าวสงครามแต่เพียงกลุ่มเดียวอีกต่อไปแล้วเช่นกัน
No comments:
Post a Comment