สิบกว่าปีก่อน ตอนที่กล้องถ่ายรูปดิจิตัลออกมาใหม่ ๆ ผมเอาไปให้ช่างภาพในห้องข่าวดู เขาบอกว่ามันเป็น "ของเด็กเล่น" ไม่ใช่อุปกรณ์ของมืออาชีพแน่นอน
หลายปีต่อมา กล้องถ่ายรูปของช่างภาพมือาชีพทั้งหลายก็กลายเป็นดิจิตัลหมด ยุคการใช้ฟิล์มถ่ายภาพข่าวค่อย ๆ จางหายจนวันนี้ไม่มีเหลืออีกแล้ว
วันนี้ ไม่เพียงแต่กล้องดิจิตัลเท่านั้นที่กลายเป็นส่วนสำคัญของห้องข่าว แต่ apps ถ่ายภาพในโทรศัพท์มือถือและแทบเบล็ทก็กำลังจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในห้องข่าวอย่างปฏิเสธไม่ได้
ปกของนิตยสารไทม์เล่นล่าสุดนี้ เป็นภาพที่มาจากช่างภาพใช้ apps Instagram ถ่ายมุมข่าวร้อนแรงจากกรณีเฮอร์ริเคน "แซนดี้" ที่พัดกระหน่ำเข้าทางตะวันออกของสหรัฐฯอย่างบ้าบิ่น
การใช้ Instagram สำหรับงานอาชีพที่ต้องมีคุณภาพระดับนิตยสารข่าวระดับโลกอย่างไทม์ต้องเป็นการตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยวมาก
Kira Pollack มีตำแหน่งเป็น "ผู้อำนวยการฝ่ายภาพ" ของไทม์ประชุมกับทีมช่างภาพแล้วก็มอบหมายให้ช่างภาพห้าคนประจำภาคตะวันออกให้ถ่ายรูปทุกแง่ทุกมุมของผลพวงจากภัยพิบัติครั้งประวัติศาสตร์ครั้งนี้ด้วย Instagram และส่งเข้าไปใน Instagram feed ของไทม์เอง
เพราะช่างภาพทั้งห้าคนนี้เล่นอินสตาแกรมอย่างคึกคักมาตลอด และได้ทดสองใช้กับงานอาชีพแล้ว คุณภาพของภาพอยู่ในขั้นดีอย่างน่าประหลาดใจ
ส่วนเรื่องความเร็วและการสร้างชุมชนข่าวใน Instagram นั้นไม่เป็นประเด็นที่ต้องสงสัยอีกต่อไปแล้ว
นายโพลลักบอกว่าเขาได้ใช้ Instagram เป็นช่องทางส่งภาพด่วนและร้อนออกไปสู่คนอ่านมาก่อนแล้ว
"ความริเริ่มนี้มันเกิดจากความจำเป็นก่อน เพราะ apps Instagram เป็นวิธีการเร็วที่สุดในการเสนอข่าวด่วน และมันเป็นเส้นทางตรงดิ่งถึงสาธารณชน ผมไม่ได้มองว่านี้เป็นเรื่องของเทรนด์ใหม่ ผมเพียงคิดว่าอะไรคือช่องทางที่ผมจะส่งภาพถึงคนทั่วไปได้เร็วที่สุด และนี่คือคำตอบ"
ผลก็คือภาพชุดจากเหตุการณ์เฮร์ริเคนแซนดี้ใน "บล็อกภาพของไทม์" นี้มีคนเข้ามาดูและแสดงความเห็นคึกคักที่สุดเท่าที่เคยมีมา...คนที่เข้ามาดูภาพชุดนี้มีสูงถึง 13% ของจำนวนผู้เข้ามาติดตามข่าวในเว็บไซท์ของไทม์ตลอดสัปดาห์
แค่ในช่วง 48 ชั่วโมงมีคนมา "follow" อินสตาแกรมของไทม์เพิ่มขึ้นถึง 12,000 คน
และหนึ่งในภาพนั้นถูกใช้เป็นปกนิตยสารไทม์ล่าสุด (อีกปกหนึ่งเป็นเรื่องเลือกตั้งประธานาดี)
"แม้ว่าความละเอียดของภาพอาจจะไม่ดีเท่ากับกล้องดิจิตัลธรรมดา แต่พอเอามาพิมพ์ขึ้นปกแล้ว ออกมาสวยมาก มีบรรยากาศเหมือนภาพวาดที่ให้ความรู้สึกสมจริงสมจังอย่างยิ่ง"
หนึ่งในช่างภาพที่มีส่วนถ่ายภาพเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วย Instagram เขียนเล่าถึงการปรับตัวของช่างภาพในยุค social media ว่าอย่างนี้
"แต่ก่อน ผมใช้กล้องดิจิตัลที่หนักและใหญ่ ต้องคอยปรับความเร็วแสง และ aperture กับต้องห่วงเรื่องตัดต่อและปรับโทนสีและแสงบนจอคอมพิวเตอร์ แต่ในสองสามปีที่ผ่านมา ผมพบว่าไอโฟนผมทำให้ผมสามารถจับภาพได้โดยไม่ต้องรู้สึกเหมือนทำงานอย่างเป็นทางการ การที่ผมสามารถ "เล็งแล้วยิงเลย" (point and shoot) นั้นเป็น "ประสบการณ์แห่งการปลดปล่อย" สำหรับผมทีเดียว มันทำให้ผมค้นพบอีกครั้งหนึ่งว่าความน่าตื่นเต้นของการเห็นความไม่เนี๊ยบทุกเม็ด และเหตุบังเอิญน่าอันสนุกสานผ่านเลนซ์บนมือถือของผมเป็นเรื่องเยี่ยมยอดทีเดียว..."
แน่นอนว่าช่างภาพบางคนก็ยังเห็นว่า "คุณภาพ" ระดับมืออาชีพจะยังต้องยึดการทำงานวิธีเดิมอยู่ดี แต่สำหรับคนข่าวที่พร้อมจะกระโดดเข้าทดลองกับของใหม่ที่สามารถสร้างมิติใหม่ ๆ แห่งการเสนอผลงานของคนข่าวผ่าน apps ใหม่ ๆ ที่ยิ่งวันยิ่งจะท้าทายความเชื่อเก่า ๆ อย่างรุนแรงหนักหน่วงขึ้นทุกคน, นี่คือการ "ปลดปล่อย" ของมืออาชีพที่ปฏิเสธไม่ได้อย่างแน่นอน